จากประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ คิดวิเคราะห์แยกแยะ โดยวีระพงษ์ ธัม www.facebook.com/10000Li
เป็นวาระเดียวกันของทุกๆ ปี ที่ผมจะ ใช้พื้นที่บทความแรกในการ "มอง" การลงทุนปี 2015 ถือว่าเป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายมากมาย จึงขอรวบรวมประเด็นเหตุการณ์ที่เป็นแนวโน้มสำคัญๆ มาสรุปให้ดังนี้ครับ
เหตุการณ์สำคัญแรก "จุดเปลี่ยนพลังงาน"
ปี 2015 จะเป็นปีแรกที่การส่งออกน้ำมันจากอเมริกา แซงหน้าประเทศยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม OPEC อย่างซาอุดีอาระเบีย ถ้าพูดเรื่องนี้เมื่อ 5-6 ปีที่แล้วคงไม่มีใครเชื่อ แต่เทคโนโลยีเชลล์ก๊าซ ทำให้อเมริกาเปลี่ยนจาก "ผู้นำเข้ารายใหญ่" เป็น "ผู้ส่งออกรายใหญ่" แทน ทำให้ภาพพลังงานจากฟอสซิลเปลี่ยนไปมาก ราคาน้ำมันถูกกดดันอย่างมากในปี 2014 จนไม่รู้ว่า "จุดสมดุล" ของราคาพลังงานใหม่จะไปอยู่ที่ไหน
สำหรับประเทศไทยที่มีการบริโภคน้ำมันสูง นี่อาจจะเป็นข่าวดีที่ช่วยกำลังซื้อในประเทศ ช่วยลดต้นทุนการผลิตและการขนส่ง แต่ราคาน้ำมันก็ส่งผลกระทบในด้านลบเช่นเดียวกัน เช่น นักท่องเที่ยวและธุรกิจส่งออกกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอาจน้อยลง หรือสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับราคาพลังงานอาจถูกกดดัน
บทเรียนหนึ่งในเรื่องนี้คือ การพึ่งพาบางสิ่งบางอย่างมากๆ ไม่ส่งผลดี เหมือนกับเวเนซุเอลา หรือรัสเซีย ที่พึ่งพาน้ำมันจนทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา
เหตุการณ์สำคัญที่ 2 คือ "จุดเปลี่ยนอิทธิพลประเทศจีน"
จีนกำลังจะเปลี่ยนจากประเทศที่รับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI Inflow) กลายเป็นประเทศที่ไปลงทุนต่างประเทศมากกว่าแทน (FDI Outflow) มหัศจรรย์ของการเติบโตเศรษฐกิจจีนตั้งแต่ผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจในทศวรรษที่ 80 คือการรับการลงทุนจากต่างประเทศ จนประเทศจีนกลายเป็น "โรงงานของโลก" แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ค่าแรงจีนถีบตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด ในขณะเดียวกันจีนก็มีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถผลิตสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูงได้หลายอย่าง (ประเทศจีนกำลังจะส่งยานลงดวงจันทร์เป็นประเทศที่ 2 ต่อจากอเมริกาในปี 2016) ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้บริษัทจีนจำนวนมากก้าวขาเข้าไปติดอันดับในบริษัทระดับโลก และกำลัง "มุ่งหน้า" ออกมาลงทุนต่างประเทศ
ในประเทศไทย เราเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากเข้ามาใช้บริการในเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ เริ่มมาใช้บริการโรงพยาบาล เริ่มมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ เริ่มเห็นการทำ Joint Venture กับบริษัทจีนมากขึ้น และที่เด่นชัดมากคือ อิทธิพลของรัฐบาลจีนในภูมิภาคนี้จะมากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์สำคัญที่ 3 คือ "จุดเปลี่ยนของเทคโนโลยี"
ในปี 2015 คาดการณ์ยอดขายของแท็บเลตจะแซงหน้าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ยอดโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตจะแซงหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และสื่อนอกบ้าน รวมไปถึงจำนวนเบอร์มือถือทั่วโลกจะนำหน้าจำนวนประชากรโลก
ประชากรบนโลก Facebook จะแซงหน้า ประชากรจีน เกิดวิถีชีวิตออนไลน์ตลอดเวลา เก็บข้อมูลบน Cloud ซึ่งเข้าถึงได้ทุกที่ สิ่งเหล่านี้จะผลักดันให้เกิด "การค้า" บนโลกออนไลน์ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปกว่าเดิม ในประเทศจีน มหาเศรษฐี 3 อันดับแรกก็มาจากโลกการค้าออนไลน์ทั้งสิ้น (อันดับ 1 คือ เจ้าของอาลีบาบา อันดับ 2 คือ เจ้าของไป่ตู้ อันดับ 3 คือ เจ้าของเทนเซนต์โฮลดิ้ง) ดังนั้นธุรกิจจึงจำเป็นต้อง "ใช้ประโยชน์" จากเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ได้ และต้องหลีกเลี่ยงการโดนคุกคาม ไม่เช่นนั้นก็เห็นบทเรียนของหลายบริษัทแล้วว่า เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถทำลายล้าง (Disruption) จนธุรกิจขนาดใหญ่ต้องล้มหายตายจากไป
เหตุการณ์สำคัญที่ 4 คือ "จุดเปลี่ยนของดอกเบี้ยและเงินทุน"
ดอกเบี้ยมีทิศทางใหญ่เป็นขาลงมาโดยตลอด และเป็นขาลง อย่างหนักตั้งแต่วิกฤต Subprime แต่
ปีหน้า FED กำลังบอกว่า ดอกเบี้ยจะเริ่มขึ้นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี นอกจากนั้น "กระแสเงินทุน" จากมาตรการ QE ก็กลับทิศจากไหลออกเป็นไหลเข้า ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เงินทุนที่หดหายย่อมส่งผลกดดันให้ต้นทุนทางการเงินธุรกิจสูงขึ้น ดังนั้นราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่วิกฤต Subprime อาจจะชะลอตัวลง เพราะนักลงทุนจะให้คุณค่าสินทรัพย์ที่มี "เงินปันผล" หรือ "กระแสเงินสด" สูงแทน
เหตุการณ์สำคัญที่ 5 คือ "จุดเปลี่ยนประเทศไทย"
ไล่ตั้งแต่การเมืองไทยที่น่าจะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ, การเปิดเสรี AEC ในปลายปี, การเริ่มก่อสร้าง Infrastructure ครั้งใหญ่ของประเทศ, เหตุการณ์สำคัญอีกอย่างคือ "ฟองสบู่หุ้นตัวเล็ก" ที่ก่อตัวมานานจะมีจุดจบอย่างไร เพราะปีที่ผ่านมามี IPO และนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่ดูเหมือนการพัฒนาในเชิง "คุณภาพ" จะตามไม่ทัน "ปริมาณ"
รายงานที่ทรงคุณค่าของศาสตราจารย์ ร็อบบิ้น ผู้ที่มีส่วนในการก่อตั้งตลาดทุนไทยเมื่อหลายสิบปีก่อนกล่าวไว้ว่า "ตลาดหลักทรัพย์ฯที่ดีจะต้องสามารถทำหน้าที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างราคาในตลาดของหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่งกับคุณค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นๆ จะต้องสัมพันธ์กันอย่างสมเหตุสมผลเสมอ ราคาทั้งสองอาจจะแตกต่างห่างไกลกันได้เป็นครั้งคราว แต่ในระยะยาวความสัมพันธ์จะต้องมี มิฉะนั้นแล้ว ตลาดทุนก็จะกลายเป็นแหล่งการพนันไป"
ตลาดหลักทรัพย์ไทยในปี 2015 ควรจะมีจุดเปลี่ยนที่การลงทุนสะท้อนคุณค่าบริษัท มากกว่าการเล่น "ราคา" มิฉะนั้น ตลาดหุ้นแบบการพนันจะทำให้สุดท้ายคนที่บาดเจ็บ คือ "นักลงทุน" ทุกคน
ขอใช้โอกาสนี้สวัสดีปีแพะครับ ขอให้ เป็นปีที่ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน