จากประชาชาติธุรกิจ
ในสมัยราชวงศ์ถังการรัดเท้าให้เล็กเป็นที่นิยมในหมู่สาวชาววัง ในยุโรปสมัยบารอค (Baroque) สาวหุ่นอวบๆ ท้วมๆ เป็นที่นิยมเพราะเชื่อว่าร่างกายที่สมบูรณ์จะสามารถคลอดลูกได้ง่าย และมีน้ำนมเพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูก ๆ ของเธอ ในประวัติศาสตร์การลงทุนนั้น สิ่งที่ได้รับความนิยมในแต่ละยุคสมัยก็ต่างกัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในบทความนี้เราจะมาดูความนิยมในการลงทุนหุ้นในอดีต และมองออกไปในปี 2015 ที่กำลังจะมาถึงนี้ว่ากระแสนิยมหันเหกันไปในทิศทางใด
ในปี 2000 หลังจากที่ดัชนี NASDAQ ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 5,132 จุดในเดือนมีนาคม ซึ่งขณะนั้น PE เฉลี่ยประมาณ 175 เท่า ก็ได้กลับเป็นขาลงทำให้ฟองสบู่ที่เริ่มฟอร์มตัว มาร่วมสิบปีได้แตกสลาย การถล่มลงของหุ้นเทคโนโลยีในช่วงปี 2000-2002 ทำให้ความมั่งคั่ง ของนักลงทุนหายไปกับสายลมราว ๆ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงที่นักลงทุนเข็ดขยาดกับการ "ซื้ออนาคต"
หากเราดูข้อมูลทางสถิติของ Fidelity Investment จะเห็นว่าในช่วงปี 2000-2002 หุ้นที่เรียกว่า "โตช้า ไม่หวือหวา ปันผลดี PE ต่ำ" กลับมาได้รับความนิยมและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หุ้นประเภท "กำไรน้อยแต่เติบโตดี ปันผลน้อยหรือไม่มี และ PE สูง" (หุ้นเติบโต)
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปถึงปี 2007 ซึ่งเป็นปีก่อน Hamburger Crisis ความกลัวของนักลงทุนที่บาดเจ็บจากวิกฤต dotcom ได้เริ่มเลือนรางไป หุ้นที่นิยมเรียกกันว่า "หุ้นเติบโต" ก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเสื่อมความนิยมอีกทีหลังวิกฤตเกิดขึ้นในปี 2008
ขณะที่ปี 2014 ตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในตลาด MAI ซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กได้รับความนิยมอย่างสูง ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ MAI มี PE 71 เท่า PBV 5.70 และปันผลเฉลี่ย 0.86% ขณะที่หุ้นใน SET มี PE 17.58 PBV 2.1 และปันผลเฉลี่ย 2.98% แต่หลังจากเกิดการเทกระจาดในตลาดหุ้นไทยลบร้อยกว่าจุด วิกฤตทางเศรษฐกิจของรัสเซีย และการถดถอยของราคาของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ผมเริ่มเห็นแนวโน้มการหันมาลงทุนในหุ้นที่เรียกว่า "โตช้า ไม่หวือหวา ปันผลดี PE ต่ำ" ในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง หุ้นที่เชื่อว่าเป็น "หุ้นเติบโต" ของไทยหลายตัว เหมือนว่าจะถูกตลาดลด PE ลงหลังจากความเสี่ยงของสภาวะแวดล้อมเริ่มเพิ่มขึ้น
แล้วอะไรจะเป็นที่นิยมในปี 2015? เมื่อเร็วๆ นี้ธนาคารกลางของสวิตเซอร์แลนด์ได้ประกาศให้ดอกเบี้ย LIBOR 3 เดือนอยู่ที่ -0.75% ลดลงจากเดิมที่อยู่ที่ -0.5% เพื่อไล่เงินออก แต่รัสเซียกลับต้องประกาศเพิ่มดอกเบี้ยจาก 10% เป็น 17% เพื่อให้คนนำเงินมาฝาก ตอนนี้ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีของเยอรมนีอยู่แค่ 0.58% ของญี่ปุ่นอยู่แค่ 0.35% แต่ทำไมยังมีคนซื้อ ?
ทั้งนี้ ผมเชื่อว่าคนที่มีความมั่งคั่งสูงในโลก เน้นที่จะรักษามูลค่าของสินทรัพย์มากกว่าที่จะเน้นสร้างกำไรในสภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับหุ้นไทยในปี 2015 โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า หุ้นที่มีความมั่นคงสูง มีสภาพคล่องซื้อขายพอสมควร และให้เงินปันผลมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ น่าจะเป็นที่นิยมในช่วงครึ่งแรกของปี ส่วนในครึ่งปีหลัง หากทุกอย่างมีความชัดเจนมากขึ้น หุ้นพวก "กำไรน้อยแต่เติบโตดี ปันผลน้อยหรือไม่มี และ PE สูง" อาจกลับมาได้รับความนิยมกันอีกรอบก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าสมัยไหนจะนิยมอะไร นักลงทุนที่เป็นนักลงทุนระยาวควรเลือกเฉพาะกิจการที่มี "ความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน" (Durable Competitive Advantage) เท่านั้น
เพราะสิ่งที่จะสามารถทำให้บริษัทมีชีวิตรอดผ่านวิกฤตทั้งหลายได้ คือ DCA เวลาบริษัทจะล้มละลาย PE เท่าไหร่ก็ล้มได้ PBV เท่าไหร่ก็ล้มได้ ดูยักษ์ใหญ่บางแห่งในอเมริกา ที่ต้องเข้าแผนฟื้นฟูในปี 2008 ตอนปลายปี 2007 มี PE แค่ 8 เท่าเอง
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน